
5 ประเภท ไม้ยอดนิยมที่ใช้ผลิตเฟอร์นิเจอร์
1. ไม้แท้ (Wood)
ไม้แท้ (Wood) คือ การนำไม้จริงจากต้นไม้ทั้งต้นหรือท่อนไม้มาผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ทั้งชิ้นงาน เป็นที่นิยมมากในสมัยก่อนเพราะไม้หาง่าย ราคาถูกและไม่มีวัสดุอื่นทดแทน ต้องอาศัยช่างไม้ที่มีทักษะ เพราะการต่อไม้ต้องเข้าเดือย ในปัจจุบันเฟอร์นิเจอร์ไม้จริงมีน้อยลงมากเพราะไม้ใหญ่หายากมากขึ้น มีราคาแพงและยังมีวัสดุอื่นๆ ที่มีความทนทาน ทดแทนได้ในปัจจุบัน โดยไม้ที่นิยมนำมาผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้จริง เช่น ไม้สัก, ไม้ประดู่, ไม้เต็ง, ไม้แอช, ไม้โอ๊ค, ไม้มะค่า, ไม้แดง, ไม้ตะเคียนทอง, ไม้ตะแบก เป็นต้น โดยจะมีไม้จริงอีกกลุ่มที่เรามักพบเห็นได้หลากหลายและราคาไม่แพง คือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ยางหรือไม้จามจุรี ซึ่งเป็นไม้ที่มีราคาถูกและส่วนใหญ่เป็นลักษณะไม้ประสาน (Joint Wood)
ไม้ประสาน คือ การทำเศษไม้ชิ้นเล็กๆ มาแปรรูปเชื่อมต่อกันเป็นไม้ชิ้นใหญ่แล้วค่อยนำไปขึ้นชิ้นงานเป็นเฟอร์นิเจอร์อีกที โดยสามารถแยกประเภทตามลักษณะความแข็งแรงของไม้ ดังนี้
-
ไม้เนื้ออ่อน เป็นไม้ที่มีวงปีกว้างมาก ลำต้นใหญ่ เนื้อค่อนข้างเหนียว แต่แปรรูปได้ง่าย เนื้อไม้มีสีจางหรือค่อนข้างซีด ความทนทานมีขีดจำกัดไม่สามารถรับน้ำหนักได้มากเท่าที่ควร
-
ไม้เนื้อแข็ง เป็นไม้ที่มีวงปีมากกว่าไม้เนื้ออ่อน เพราะมีการเจริญเติบโตช้ากว่า โดยเฉลี่ยมีอายุหลายสิบปี จึงจะนำมาใช้งานได้ ลักษณะทั่วไปของไม้เนื้อแข็ง มีน้ำหนักมาก แข็งแรงทนทาน เหมาะสำหรับงานงานเฟอร์นิเจอร์
จุดเด่น
-
แข็งแรง คงทน ทำจากไม้เนื้อเดียวกันทั้งท่อน
-
ลวดลายสวยธรรมชาติ แตกต่าง เป็นเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำกัน
จุดด้อย
-
ราคาแพง หายาก
-
เกิดรอยขูดขีดและเป็นรอยน้ำง่าย ต้องใช้น้ำยาหรือขี้ผึ้งเคลือบอย่างสม่ำเสมอ
-
มีการหดขยายตัวได้ จึงต้องเผื่อพื้นที่ในการรองรับการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์
-
ต้องระวังปลวก แมลงต่างๆ
-
หากใช้ไม้อายุน้อยๆ อาจไม่แข็งแรง
-
มีน้ำหนักมาก ยากต่อการขนย้าย

2. ไม้ปาร์ติเกิ้ล (Particle Board)
ไม้ปาร์ติเกิ้ล (Particle Board) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าไม้ PB ผลิตมาจากเศษชิ้นไม้เล็กๆ รวมไปถึงขี้เลื่อย นำมาอัดประสานกันโดยสารเคมีและนำมาทำการบดอัดด้วยความดันสูง จนได้แผ่นไม้ขนาดต่างๆ โดยความหนาที่นิยมนำมาผลิตเฟอร์นิเจอร์จะอยู่ที่ 9-25 มิลลิเมตร ซึ่งไม้ปาร์ติเกิ้ลบอร์ดถือเป็นไฟเบอร์บอร์ดชนิดหนึ่งและเป็นไม้ที่มีน้ำหนักเบาสุดในบรรดาไฟเบอร์บอร์ดทั้งหมด โดยวิธีการคือจะใช้ไม้ยางพาราสับเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมกับกาว แล้วนำไปอัดขึ้นรูปเป็นแผ่นไม้ เนื้อไม้จะ “เหนียวแต่ไม่แน่น” ได้เปรียบตรงความเหนียวที่ได้จากเส้นใยที่ประสานกัน แต่เนื้อไม้จะฟู หยาบ ไม่แน่น ในเนื้อไม้จะมีโพรงอากาศเล็กๆ ทำให้ไม้เบากว่าไม้จริง ซึ่งความแข็งแรงก็น้อยกว่าเอ็มดีเอฟ และพาร์ดวูด มักนิยมเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์ หรือโครง Built-in furniture ไม่นิยมพ่นสี แต่จะใช้การปิดผิวด้วยกระดาษ เมลามีน ลามิเนตและวัสดุอื่นแทน
จุดเด่น
-
ราคาถูก หาซื้อง่าย
-
มีวัสดุปิดผิวให้เลือกหลากหลายลวดลาย
-
ทำความสะอาดง่าย ด้วยการเช็ดถูตามปกติ
-
น้ำหนักเบา ขนย้ายสะดวก
จุดด้อย
-
วัตถุดิบโดยรวม มีความแข็งแรงน้อย
-
เนื้อไม้ไม่หนาแน่น ไม่สามารถรับน้ำหนักมากได้ จะเกิดการแอ่นตัว
-
ไม่สามารถโดนน้ำได้ น้ำและความชื้นจะทำให้แผ่นปิดผิวบวม และเนื้อไม้เปื่อยยุ่ย
-
อาจมีเชื้อราเกิดขึ้นได้ง่าย

3. ไม้ MDF (Medium-Density Fiberboard)
ไม้ MDF (Medium-Density Fiberboard) เป็นไม้อีกประเภทที่ได้รับความนิยมในการผลิตเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปแบบลอยตัวและบิลท์อิน โดยกระบวนการผลิตหรือต้นกำเนิดของ Particle board กับ MDF จะคล้ายกัน คือการใช้เศษขี้เลื่อยของไม้ยางพารามาแล้วผสมกาว นำไปอัดเป็นขึ้นเป็นแผ่นและนำแผ่นนั้นมาบดเป็นผงอีกทีหนึ่ง แล้วจึงนำไปผสมกับกาวอบให้แห้ง เพื่อนำไปอัดแผ่น ด้วยความร้อนอีกครั้ง ทำให้เนื้อไม้มีความหนาแน่น ละเอียด และมีพื้นผิวด้านนอกที่เนียนมากกว่าไม้ Particle Board
คุณสมบัติของ ไม้ MDF (Medium Density Fiberboard) ผิวมีความหนา แน่น และเรียบสม่ำเสมอตลอดทั้งแผ่น สามารถขูดแต่งเนื้อไม้ได้เรียบเนียน งานที่ออกมาจึงดูเรียบร้อยไม่เป็นขุย ขนาดที่นิยมนำมาผลิตเฟอร์นิเจอร์ จะอยู่ที่ 3 - 25 มิลลิเมตร โดยพื้นผิวภายนอกนั้นสามารถปิดผิวได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการปิดผิวด้วยกระดาษ เมลามีน ลามิเนต รวมไปถึงสามารถนำมาพ่นสีทับผิวด้านนอกเนื้อไม้ได้
จุดเด่น
-
ต้นทุนไม่สูง หาซื้อง่าย
-
เนื้อไม้หนาแน่นและละเอียดมาก จึงมีความแข็งแรง
-
เนื้อผิวละเอียด เรียบเนียน
-
ความแข็งแรงมากกว่าไม้ปาร์ติเกิ้ล
-
ทนน้ำได้ดีกว่าไม้ปาร์ติเกิ้ล
-
สามารถขัดกลึงให้ผิวโค้งมนได้
จุดด้อย
-
ราคาสูงกว่าไม้ปาร์ติเกิ้ล
-
น้ำหนักมากกว่าไม้ปาร์ติเกิ้ล
-
ไม่สามารถรับน้ำหนักมากได้ จะเกิดการแอ่นตัว ต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน
-
จะเกิดฝุ่นเป็นจำนวนมาก เมื่อเจาะ กลึง หรือตัด
-
ต้องระวังเรื่องความชื้นและปลวก

4. ไม้อัด HMR (High Moisture Resistance board)
ไม้อัด HMR (High Moisture Resistance board) คือ แผ่นใยไม้อัดทนความชื้นหรือการนำไม้เอ็มดีเอฟ (MDF) ผสมสารทนความชื้น โดยกรรมวิธีการผลิตคือการนำไม้ยูคาลิปตัสมาสับและบด จนเป็นเส้นใยละเอียด แล้วใช้เทคนิคในการผลิตแบบอัดประสานด้วยกาวชนิดพิเศษ จึงสามารถช่วยเพิ่มแรงต้านในการขยายตัว และทนทานเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โดยไม่มีอาการบวม บิด หรือโก่งงอ สามารถใช้กับเครื่องมืองานไม้ได้ทุกชนิด เมื่อนำไปตัดหรือตกแต่งจึงสามารถทำได้ง่ายโดยที่เนื้อไม้ไม่หักหรือบิ่น
จุดเด่น
-
ผิวเนียนเรียบ
-
เนื้อไม้มีความแน่นมาก
-
ไม้ HMR ราคาประหยัดกว่าไม้อัด Plywood
-
สามารถทนน้ำ ทนความชื้นได้ดีกว่าไม้ MDF
-
ทนความร้อนได้ดี
-
สามารถตัดเจาะได้ ไม่เป็นขุย ไม่ยุ่ยง่าย
-
ทำความสะอาดง่าย
จุดด้อย
-
ราคาแพงกว่าไม้ปกติ
-
น้ำหนักเยอะกว่าไม้ทั่วไป
-
ทนชื้นได้น้อยกว่าไม้จริง

5. ไม้อัด (Plywood)
ถือเป็นไม้ที่มีคุณภาพขึ้นมาอีกระดับ เรื่องของความทนทาน แข็งแรง ในกระบวนการผลิตไม้อัด (Plywood) คือ การนำไม้ท่อนซุงมาปอกเปลือกชั้นนอกส่วนที่ผิวไม่เรียบออกไป ผ่าให้ได้แผ่นบาง ๆ หรือที่เรียกว่าวีเนียร์ และนำวีเนียร์ที่ได้มาอัดเข้าด้วยกันเป็นชั้น ๆ จนแน่น โดยใช้กาวเป็นตัวประสาน โดยวีเนียร์แต่ละแผ่นที่นำมาประกอบเป็นแผ่นไม้อัดจะว่างในลักษณะให้เสี้ยนไม้ตั้งฉากกัน เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในเรื่องของความแข็งแรง และทำให้ไม้อัดไม่ยืดหรือหดตัว เมื่อความชื้นเปลี่ยนไป และปิดผิวด้วยเยื่อบุไม้ ซึ่งไม้อัดทำมาจากไม้ชนิดต่าง ๆ เช่น ไม้สัก, ไม้ยาง, ไม้ชิงชัน, ไม้ประดู่, ไม้ตองจิง, ไม้จำปา, ไม้สยา, ไม้กะบาก เป็นต้น ที่นิยมนำมาผลิตเฟอร์นิเจอร์ความหนาของไม้อัดจะมีความหนาอยู่ที่ 3, 4, 6, 10, 12, 15 และ 20 มม.
จุดเด่น
-
มีความแข็งแรง ทนทาน ไม่หักง่าย สามารถรับแรงได้ทั้งสองทาง
-
ทนทาน ยืดหยุ่น ไม่บิดงอได้ง่ายๆ
-
ไม่หดตัว ไม่แตกเป็นชิ้นเมื่อเจาะ จึงประกอบเข้ารูปได้ง่าย
-
เพิ่มคุณสมบัติพิเศษได้ เช่น กันน้ำ กันปลวก และกันเชื้อรา
-
ความสวยงาม ลวดลายไม้ต่อเนื่อง ผิวดูเรียบ
จุดด้อย
-
ราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากยังคงผลิตจากไม้จริงทั้งแผ่น
-
มีน้ำหนักมาก
-
โดนน้ำได้ในระดับนึง
-
ไม่เหมาะกับการเซาะร่อง
-
หากไม่เคลือบจะทำให้เช็ดถูยาก เนื่องจากผิวไม่ไม่เรียบสนิท
-
อาจมีเสี้ยนที่เป็นอันตราย ต้องขัดและเก็บปิดขอบให้ดี
